วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2561

ชาดกล้านนา เรื่อง พรหมจักรชาดก


พรหมจักรชาดก
พรฯ฿หมฯจักรฯ ชาด฿กฯ

          ในอดีตกาลยังมีกษัตริย์องค์หนึงชื่อ “พญาวิโรหาราชา” เสวยราชที่เมืองลังกา มีอัครมเหสีชื่อกัญจนเทวี มีโอรส ๒ องค์คือ วิโรหาราชกุมารและนันทกุมาร เมื่อวิโรหาราชกุมารอายุ ๑๖ ปีและนันทกุมารอายุ ๑๓ ปี ต่างก็เรียนรู้ศิลปศาสตร์และไตรเพททังมวล ส่วนวิโรหาราชกุมารนันมีของทิพย์คู่บุญคือ เกือกทิพย์ ธนูทิพย์และดาบทิพย์คือดาบสรีกัญไชย ต่อมาวิโรหาราชกุมารก็อภิเษกสมรสและรับสมบัติแทนพระบิดาสืบมา
          พญาวิโรหามีฤทธิ์เป็นอันมาก อาจใช้เกือกทิพย์เหาะไปที่ต่างๆ  วันหนึ่งวิโรหาได้เนรมิตกายเป็นพระอินทร์ไปเสพสุขกับนางสุธัมมา เมื่อพระอินทร์ได้หลักฐานว่าพญาวิโรหาเข้าหาเมียของตนเช่นนั้นก็คิดว่า หากจะกำจัดพญาวิโรหาเสีย ก็ย่อมไม่สมควรแก่ความเป็นหัวหน้าเทวดาจึงปล่อยตัววิโรหาไปในที่สุด เมื่อถึงกำหนดที่นางสุธัมมาจะจุติแล้ว พระอินทร์ก็ให้นางไปเกิดในเมืองลังกาเพื่อทำลายพญาวิโรหา นางจึงไปปฏิสนธิในครรภ์ของนางเกสี เมื่อคลอดแล้วพญาวิโรหาก็ตั้งชื่อว่ารัตนกุมารี โชติพราหมณ์ที่พญาวิโรหาเชิญมาก็ทำนายว่ากุมารีนันมีบุญนัก แต่นางจะทำให้พญาวิโรหาถึงแก่ความพินาศ ควรที่จะนำไปลอยแพเสีย เมื่อนำนางไปลอยเเพแล้ว แพของรัตนกุมารีก็ลอยไปติดที่ท่าน้ำของฤาษีรูปหนึ่ง ซึ่งก็ได้รับเอากุมารีนั้นไปเลี้ยงจนโตขึ้นมา และได้ชื่อใหม่ว่า “นางสีดา” และนางก็ให้ความอุปฐากแก่ฤาษีเหมือนเป็นบิดาของตนเรื่อยมา
          ในเมืองพาราณสี มีกษัตริย์ชื่อท้าวพรหมทัต มีมเหสีซี่อนางสุคันธเกสีเทวี เมื่อครบกำหนดที่พระโพธิสัตว์จะจุตินั้น ก็ได้มาปฏิสนธิเป็นโอรสของท้าวพรหมทัต และได้รับการขนานพระนามว่า “พรหมจักร” อีกปีหนึ่งต่อมาก็มีราชโอรสอีกองค์หนึ่งชื่อว่า “รัมมจักร” เมื่อกุมารทั้งสองมีอายุได้ ๑๖ ปี และ ๑๕ ปี ก็ได้พากันไปเรียนวิชาการรบพุ่งต่างๆ ที่เมือง   ตักกสิลาเป็นเวลา ๑ เดือน เมื่อจบแล้วก็เดินทางกลับพาราณสี ในขณะที่เดินผ่านป่าแห่งหนึ่งได้พบครุฑกำลังรบกันอยู่ พรหมจักรก็ยิงถูกครุฑผู้น้องตกลงมาตาย พญาครุฑผู้พี่จึงได้เข้ามาขอเป็นข้าช่วงใช้ จากนั้นสองพี่น้องก็เดินทางต่อไปอีก 16 วันก็ถึงเมืองพาราณสี ท้าวพรหมทัตก็ได้อภิเษกให้พรหมจักรเป็นกษัตริย์และตั้งรัมมจักรเป็นอุปราช
          คืนหนึ่งพรหมจักรฝันไปว่า ได้นางเทพธิดามาเป็นชายา แต่กลับถูกวิทยาธรตนหนึ่งมาลักไป ความฝันนี้ทำให้พรหมจักรคิดออกเดินป่าค้นหานางแก้วคู่บุญ ฝ่ายพระอินทร์เมื่อเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่นางสีดาควรจะได้พบกับโพธิสัตว์ จึงแปลงเป็นกวางทองมาชักนำให้นายพรานตามไปจนพบนางสีดา เมื่อเห็นนางงามเช่นนั้น นายพรานก็คิดจะไปทูลให้พญา  วิโรหาของตนให้รู้ ระหว่างทางกลับเมืองลังกานั้น นายพรานก็ได้พบพ่อค้าต่างเมืองอีกหลายคน ก็เล่าเรื่องนางสีดาให้ฟังพ่อค้าเหล่านั้นก็นำกิตติศัพท์ความงามของนางสีดาเล่าต่อกันไปและนำไปกราบทูลกษัตริย์ของตน ส่วนพรานผู้นั้นเมื่อถึงลังกาแล้วก็ไปทูลพญาวิโรหา ซึ่งพระองค์ก็รีบยกพลไปขอนางสีดาทันที ฝ่ายกษัตริย์อื่นๆ อีกร้อยเอ็ดเมืองต่างก็มาด้วยความประสงค์อย่างเดียวกัน พระฤาษีจึงให้กษัตริย์เหล่านั้นยิงธนูดู ผู้ใดยิงได้จึงจะได้นาง กษัตริย์ทุกองค์รวมทั้งวิโรหาด้วยก็ไม่มีผู้ใดยิงได้ กษัตริย์ต่างๆ ก็พากันกลับไปหมด พญาวิโรหาก็ให้กองทัพยกกลับไป ส่วนตัวเองก็แอบอยู่ในบริเวณนั้นเพื่อรอโอกาสอยู่
          ฝ่ายพรหมจักรและทหารคู่ใจ 5 นายเดินทางจากพาราณสีได้ 7 วัน ได้รบชนะยักษ์ตนหนึ่ง ซึ่งก็ได้แก้ววิเศษชื่อ “ทิพพจักขุ” และยักษ์นั้นขอเป็นข้าช่วงใช้ด้วย จากนั้นจึงเดินทางต่อไป บังเอิญไปพบนางสีดาซึ่งสรงน้ำในสระแห่งหนึ่ง ทั้งสองเกิดเสน่หาต่อกัน พรหมจักรจึงไปขอนางจากฤาษี ซึ่งฤาษีก็ให้พรหมจักรลองขึ้นสายธนูและยิงก้อนหินให้ดู     พรหมจักรสามารถทำได้อย่างง่ายดาย จึงได้รับนางสีดาและธนูเป็นรางวัล พรหมจักรจึงพานางคืนสู่กุรุรัฏฐนคร
          ฝ่ายพญาวิโรหาเมื่อทราบเหตุด้วยตาทิพย์ ก็เนรมิตกายเป็นกวางทอง มาล่อให้พรหมจักรตามไป แล้วแปลงเป็นฤาษีบิดาบุญธรรมของนางสีดาเข้ามาหานางและอุ้มเอานางสีดาเหาะไปลังกา ระหว่างทางก็ได้ผ่านป่างิ้วซึ่งเป็นป่าที่อยู่ของครุฑ พญาครุฑจึงพาบริวารเข้าจิกตีวิโรหาแต่ก็พ่ายแพ้ ถูกพญาวิโรหาฟันร่วงลงสู่พื้นจนหมดสิ้น เมื่อถึงลังกาแล้วพญา     วิโรหาจะเข้าเสพสุขกับนาง ก็เกิดรุ่มร้อนไปหมด จึงให้นางอยู่ที่ปราสาทแห่งหนึ่งเพื่อจะหาวิธีจะได้นางต่อไป
          ทางด้านพรหมจักรเมื่อทราบว่าเมียหายก็ออกตามจนไปพบพญาครุฑและบริวารที่บาดเจ็บ ครุฑเหล่านั้นได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้พรหมจักรฟัง พรหมจักรก็ได้ช่วยเสกเป่าด้วยมนต์ให้ครุฑเหล่านั้นหายเป็นปกติดังเดิม
          พรหมจักรเดินทางต่อไป ได้พบ “พญากาวินทะ” ซึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งและได้นางวานรตัวหนึ่งเป็นเมีย ลูกที่เกิดมานั้นให้ชื่อว่า “หรมาร” และเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์เป็นอันมาก พญากาวินทะกล่าวว่าตนเป็นน้องของ “พญากาสีกราช”  ผู้ครองเมืองกาสี
          คราวหนึ่งมีควายตัวหนึ่งมีนางควายเป็นเมียได้หมื่นตัว ก็ได้ฆ่าลูกที่เป็นตัวผู้หมด ครั้งนั้นมีนางควายตัวหนึ่งตั้งท้องแล้วไปคลอดในถ้ำแห่งหนึ่ง ตกลูกเป็นตัวผู้ ลูกควายนั้นเมื่อเจริญวัยก็ได้ฝึกฝนการต่อสู้ จนเห็นว่าสามารถต่อสู้กับพ่อตัวเองได้แล้ว จึงไปท้าพ่อควายให้มาลองต่อสู้กัน การรบคราวนั้นพ่อควายแพ้  ลูกควายก็ได้ครองฝูงสืบมาต่อมา เมื่อลูกควายมีความหยิ่งผยองในฤทธิ์ของตนมากขึ้น ก็พาบริวารไปทำลายไร่นาของชาวเมืองกาสี พญาสีกราชก็รบกับควายและไปสู้กันต่อในถ้ำ พร้อมกับสั่งพญากาวินทะและอำมาตย์ให้คอยดูว่า ถ้าเลือดข้นไหลออกมาก็แสดงว่าเป็นเลือดควาย หากเลือดที่ไหลออกมาเหลวใส ก็หมายความว่าตนเสียทีแล้ว ให้เอาหินปิดถ้ำและให้พญากาวินทะครองเมืองแทน ครั้งนั้นพญากาสีกราชชนะและฆ่าควายได้ แต่เลือดควายที่ไหลออกมานั้นปนกับน้ำ จึงดูเหมือนกับเลือดเหลวใส พญากาวินทะและอำมาตย์จึงชวนกันปิดถ้ำ แล้วกลับไปยังเมืองพาราณสีและอภิเษกพญากาวินทะเป็นกษัตริย์ ฝ่ายพญากาสีกราชเห็นถ้ำ  ปิดอยู่ก็โกรธ จึงทลายถ้ำแล้วขับไล่พญากาวินทะออกจากเมือง พญากาวินทะจึงไปอยู่ป่าและได้เมียเป็นวานรตั้งแต่บัดนั้น
          พรหมจักรได้เล่าเรื่องของตนให้พญากาวินทะฟังบ้าง ซึ่งพญากาวินทะก็เห็นใจและอาสาจะช่วยพรหมจักรรบกับ  วิโรหา จากนั้นพรหมจักร พญากาวินทะ หรมาร และบ่าวไพร่ก็เดินทางเข้าสู่เมืองกาสีเพื่อหาทางช่วยให้พญากาวินทะได้ครองเมือง แต่ได้ทราบว่าพญากาสีกราชสิ้นพระชนม์ไปแล้ว เสนาอำมาตย์จึงเชิญพญากาวินทะขึ้นครองเมืองกาสีต่อไป
          หลังจากนั้นพรหมจักรก็ส่งสาส์นไปกราบทูลเรื่องต่างๆ ให้พญาพรหมทัตเป็นบิดาทรงทราบ แล้วจึงขอกองทัพจากเมืองกาสีและกองทัพจากร้อยเอ็ดหัวเมืองเพื่อไปรบกับพญาวิโรหา คราวนั้นรมจักรผู้เป็นอุปราชเมืองพาราณสีก็ได้ยกพลมาที่เมืองกาสี พญากาวินทะก็จัดทัพใหญ่โดยมีพระองค์เองและหรมารเป็นแม่ทัพ เมื่อกองทัพต่างๆพร้อมแล้วก็ออกเดินทางใช้เวลา 3 เดือนก็บรรลุถึงฝั่งมหาสมุทร จึงได้หาทางข้ามมหาสมุทรต่อไป
          จากนั้นการสร้างสะพานก็เริ่มขึ้น หรมารเอาเถาวัลย์และหวายผูกติดเอวของตนเหาะไปถึงเกาะกลางน้ำ แล้วเอาเถาวัลย์หวายนั้นผูกกับต้นไม้ใหญ่ ถัดนั้นจึงเอาไม้ไผ่ไม้กลวงทำเป็นทุ่นลอย เพื่อลำเลียงอุปกรณ์และเริ่มลงหลักสร้างสะพานต่อมา ในขณะนั้นพวกสัตว์น้ำก็ได้มาทำร้ายผู้คนจนล้มตายไปมาก หรมารจึงต้องดำน้ำลงไปรักษาการณ์อยู่ การสร้างสะพานดำเนินไปเดือนหนึ่งจึงสำเร็จลง แล้วจึงพากันยกพลข้ามสะพานไปสู่ลังกา
          ในขณะที่หรมารรักษาการณ์ในน้ำนั้น ยังมีนาคสาวตนหนึ่งชื่อ “นาคมาลิกา” ได้ดูดกินน้ำปนเหงื่อและปัสสาวะของ   หรมารจึงตั้งครรภ์ เมื่อบิดานางรู้เรื่องทั้งหมด ก็แปลงเป็นคนไปดูการสร้างสะพาน บังเอิญมีครุฑบินผ่านมาเห็นจึงเข้าจับพญานาคแปลงแล้วบินไปทางเมืองลังกา ขนาดนั้นพญาวิโรหาออกมานั่งผิงแดดอุ่นในยามเช้าอยู่ เห็นครุฑแสดงอาการไม่เกรงตนจึงใช้ธนูยิงครุฑ ครุฑตกใจจึงปล่อยนาคแล้วหนีไปหาพรหมจักร พร้อมทั้งอาสาจะช่วยพรหมจักรรบกับวิโรหา ฝ่ายนาคเมื่อพ้นจากความตายแล้ว ก็ไปเล่าเรื่องการสร้างสะพานแก่พญาวิโรหาพร้อมทั้งอาสาจะช่วย
          ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายส่งทหารออกลาดตระเวนนั้น พรหมจักรก็ให้หรมารไปสืบข่าวว่านางสีดาจะยังคงรักตนหรือไม่ พร้อมทั้งส่งสาส์นไปให้นางด้วย หรมารเหาะไปแต่เหาะข้ามเมืองลังกาไปถึงป่าหิมพานต์ จึงเข้าไปถามทางจากฤาษีตนหนึ่งแล้วพักอยู่ด้วยในคืนนั้น รุ่งเช้าฤาษีไปบิณฑบาตและสั่งห้ามมิให้หรมารไปทางทิศเหนือของอาศรม แต่หรมารไม่เชื่อจึงถูกยักษ์แปลงเป็นปลิงพันขาพญาวานรไว้ เพื่อจะลากลงไปกินในสระ ต่างฝ่ายต่างดึงกันอยู่ เมื่อฤาษีกลับมาพบเข้าจึงถ่มน้ำลายถูกปากปลิง ปลิงก็ปล่อย เมื่อรับประทานอาหารแล้วฤาษีก็บอกทางไปเมืองลังกาแก่หรมาร
          เมื่อหรมานพบกับนางสีดาแล้าก็ถวายสาส์น นางสีดาจึงสั่งความไปทูลให้พรหมจักรรีบยกทัพมารับนาง ในตอนเดินทางกลับนั้นหรมารอยากรู้ทางเข้าออกของเมือง จึงมาที่เสนาทั้งหลายชุมนุมกันอยู่และถูกจับไปนอกเมือง เสนาจึงเอาหญ้าคามัดหลังหรมารแล้วจุดไฟเผาและปล่อยไป หรมารจึงไปสู่เรือนของพญาและอามาตย์ทั้งหลายจนไฟไหม้ทั้งเมือง  แล้วหรมารก็โดดลงน้ำเพื่อดับไฟและเหาะกลับไปยังกองทัพของพรหมจักร
          พรหมจักรเริ่มเคลื่อนทัพตีหัวเมืองลังกาเข้าไปตามลำดับ ทหารของลังกาที่พ่ายแพ้จึงไปทูลให้พญาวิโรหาทรงทราบ ซึ่งวิโรหาก็สั่งให้จัดทัพและเรียกพลจากเมืองต่างๆ ไปรวมกัน แล้วจึงสังเวยอารักษ์ประจำเมือง จากนั้นจึงเคลื่อนทัพออกไป มีนายทัพชื่อต่างๆ จำนวน ๖ นายควบคุมไปตั้งรับข้าศึก ทัพฝ่ายพรหมจักรซึ่งมีนายทัพ ๘ นายก็เข้าต่อสู้กัน    รัมมจักรจึงร่ายมนตร์เกิดเป็นเกวียนไฟ ไล่ทัพลังกาจนพ่ายไป ทัพของพญาวิโรหาเสียนายทัพไป ๓ นายและเสียทหารไปหมื่นเศษ ในการรบครั้งต่อมา “นันทะ” อุปราชฝ่ายลังกาถูกจับได้และลังกาเสียขุนทัพไปอีก ๕ นาย รวมกับเสียทหารอีกหลายโกฏิจนไม่อาจนับได้ แล้วทัพของพรหมจักรก็เข้าล้อมเมืองลังกา ครั้งนั้นวิโรหาและรัมมจักร ได้ต่อสู้กันด้วยการเสกมนตร์เป็นน้ำ ไฟ ลม หรือภาพยนตร์ จนพญาวิโรหาเกิดแค้นใจที่ตนมีฤทธิ์ ซึ่งไม่มีใครต้านทานได้ ยังมาถูกลองฤทธิ์เช่นนี้
          พรหมจักรส่งสาส์นถึงพญาวิโรหาให้ส่งนางสีดาคืน หากไม่คืนก็ให้มาชนช้างในวันรุ่งขึ้น พญาวิโรหาเรียกนาคให้นาคยกทัพไปช่วย จากนั้นก็กรีฑาพล เมื่อทัพทั้งสองเผชิญหน้ากัน ทัพนาคบุกเข้าไปจนกองทัพของพรหมจักรระส่ำระสาย จึงขอให้ครุฑมาช่วยจนนาคหนีไป แล้ววิโรหาก็ใช้ธนูสิงห์ยิงครุฑจนแตกพ่ายไป ครั้งนั้นวิโรหาเนรมิตกายมี ๑๐ เศียร     ตาแดงดังไฟ ถือดาบสรีกัญไชยเข้ารุกจนนายทหารฝ่ายพรหมจักรล้มตายไปมาก เมื่อค่ำลง ทั้งสองฝ่ายก็ยกทัพกลับ พอเช้าขึ้นก็ออกมารบกันใหม่ เป็นเวลานานถึง ๑๐ เดือน
          พญานาคเห็นว่าจะรบกับพรหมจักรบนดินไม่ได้ ก็อาสาพญาวิโรหาว่าจะดั้นแผ่นดินไปที่ทัพพรหมจักร แล้วลักตัวพรหมจักรไปบาดาลและก็ทำได้สำเร็จ เกิดโกลาหลทั่วไปในทัพของพรหมจักร เจ้านันทะอนุชาของวิโรหาซึ่งถูกขับและหนีมาอยู่กับพรหมจักรก็บอกว่าพรหมจักรถูกนาคลักตัวไปและให้หรมารติดตามไปจนถึงเมืองนาค แล้วพาตัวพรหมจักรกลับค่าย ฝ่าย “หรยี” เป็นลูกของหรมารกับนางนาคมาลิกา เห็นผู้มาชิงนักโทษจึงเข้าไปต่อต้าน เมื่อรู้จักกันแล้วหรมารจึงสั่งหรยีให้อยู่กับแม่และหรมารก็พาพรหมจักรกลับคืนไป
          ถัดมาอีก ๓ วันพญาวิโรหาก็ยกทัพใหญ่ออกมารบกับพรหมจักร โดยเนรมิตกายมี ๑๐ เศียร เหาะมาท้ารบกับพรหมจักร คราวนั้นพญาวิโรหายิงธนูมาถูกที่พระบาทของพรหมจักรแล้วยกทัพกลับไป พรหมจักรได้รับความทรมานมากจากพิษธนู เสนาฝ่ายพรหมจักรก็ได้ปรึกษากันและถามเจ้านันทอุปราช เจ้านันทอุปราชก็บอกว่ายาที่จะรักษาพิษธนูนันอยู่ที่จอมดอยจิกดวงปลี พญากาวินทะจึง ให้หรมารเหาะไปนำมาฝนทาที่พระบาท พิษธนูจึงหายไป
          เมื่อหายปวดจากพิษธนูแล้ว พรหมจักรก็ปรึกษากับรัมมจักร, พญากาสี, หรมารและเสนาทั้งหลายว่า บัดนี้รบกันมาได้ ๑๐ เดือนแล้วและเสียโยธาไปมากมาย ยังไม่สามารถเอาชนะกันได้ มีวิธีไหนที่จะปราบวิโรหาได้ เมื่อถามเจ้านันทอุปราชนัน เจ้านันทอุปราชก็บอกให้นำเอาดินติดหางครกกระเดื่อง กับไม้ซีกจากชานบ้านและดินพอกหางหมู รวมกันไปใส่ที่ยอดฉัตร แล้วไปทำพลีกรรม เลี้ยงผีอารักษ์ที่ชื่อ “ราพณาสูร” ซึ่งสถิตอยู่ที่ไม้แคฝอยด้านตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง มีเหล้า ๑๐๐ ไห และความเผือกหนุ่มมาพล่าและแกง กับทางหมูด่างขาวที่เท้ามีกีบติดกัน ปรุงเป็นอาหารอย่างดีไปให้ราพณาสูรอารักษ์ประจำเมืองนั้น ราพณาสรจะแปลงเป็นแร้งมากินเครื่องเซ่น แล้วให้หาชายที่ไม่เคยมองหน้าสตรีครบ ๓ ปี เป็นผู้น้าวธนูยิงผีอารักษ์แปลงนั้นและให้ยิงพญาวิโรหาจึงจะสำเร็จ เมื่อสืบดูแล้วทราบว่า รัมมจักรเป็นผู้เดียวที่ไม่เคยมองหน้าสตรีมาสี่ปีแล้ว และหรมารก็ได้ไปยืมคนธนูและลูกศรมาจากนางยักษ์ตนหนึ่งมาได้ จากนั้นจึงดำเนินการตามคำของนันทอุปราชทุกประการ ทั้งการสังเวยอารักษ์ การประหารอารักษ์และการนําสิ่งอัปมงคลไปใส่ที่ยอดฉัตรของพญา     วิโรหา
          รุ่งขึ้น ปีนใหญ่ฝ่ายพรหมจักรก็ยิงเปิดสงคราม แล้วเคลื่อนทัพเตรียมปล้นเอาเมือง พญากสีเขียนสาส์นลงบนแผ่นไม้ไปท้ารบ พญาวิโรหาโกรธมากก็เหาะมารบด้วยกายเนรมิตและรบกันด้วยอาคม เมื่อได้โอกาสรัมมจักรจึงยิงธนูไปถูกพญาวิโรหาที่สีข้างตกลงมาตาย พรหมจักรจึงยกทัพเข้าเมืองลงกาและได้พบกับนางสีดา หลังจากที่ได้ปูนบำเหน็จนายทัพและทหารแล้า พรหมจักรก็ โปรดให้หรมารนำเอาธนูไปคืนนางยักษ์
          เมื่อเสร็จสงครามแล้วเสนาลังกาจึงขอไถ่เอาเจ้านันทอุปราชไปเป็นกษตริย์แทนพญาวิโรหา พรหมจักรและคณะจึงได้ช่วยงานอภิเษกนันทอุปรารเป็นกษัตริย์แล้ายกทัพกลับตามเส้นทางเดิมซ่อมสะพานเชือกที่เคยทำไว้ เมื่อข้ามไปเสร็จแล้วจึงทำลายสะพานนั้นเสีย ครั้นกลับถึงเมืองกาสีแล้วจึงมีการเลี้ยงฉลองกันอย่างครึกครื้น เมื่อพักอยู่ที่เมืองกาสีพอสมควรแล้วพรหมจักรก็ยกทัพกลับเมืองพาราณสี
          อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่พรหมจักร ไปประพาสอุทยาน นางสีดาซึ่งกำลังทรงพระครรภ์อยู่ได้พักอยู่ที่ปราสาท ครั้งนั้นนางสนมทั้งหลายอยากเห็นรูปของพญาวิโรหาจึงขอให้นางสีดาวาดให้ดู ขณะที่วาดถืงเศียรที่ 7 นั้น บังเอิญพรหมจักรเสด็จมา นางสีดาเกรงพรหมจักรจะเห็นเข้า จึงเอากระดานที่วาดรูปพญาวิโรหานั้นซ่อนไว้ใต้อาสนะของพรหมจักร พรหมจักรประทับนั่งบนอาสนะนั้น รูปของพญาวิโรหาก็พูดว่า เป็นกษัตริย์เหมือนกันกลับมานั่งบนหัวกันแบบนี้ช่างดูหมิ่นกันจริงๆพรหมจักรเปิดอาสนะดูพบรูป จึงบริภาษนางสีดาว่ามีใจยินดีกับพญาวิโรหาจึงวาดภาพไว้ดูต่างหน้า บริภาษแล้วขับไล่นางออกจากเมืองไป
          นางสีดาเมื่อถูกเนรเทศเช่นนั้นก็เข้าไปลาผู้ที่เกี่ยวข้องเดินทางออกจากเมือง เมื่อเหนื่อยอ่อนนางก็พักที่ใต้ร่มไม้ แล้วอธิษฐานขอให้เทวดาทั้งหลายช่วยนางด้วย ครั้งนั้นเมื่อพระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของพระอินทร์ที่เคยอ่อนนุ่มก็แข็งกระด้าง พระอินทร์ก็ทรงทราบเรื่องด้วยทิพยเนตร จึงเสด็จแปลงกายมาลองใจนางสีดา เมื่อเห็นว่านางยังภักดีต่อพรหมจักรมั่นคงนัก พระอินทร์ก็เนรมิตปราสาทให้นางประทับอยู่ในป่า เมื่อครบกำหนดนางสีดาคลอดโอรสที่มีลักษณะงดงาม นางก็ประทับอยู่ที่ปราสาทนั้นเป็นเวลานานใน 3 เดือน
          เมื่อนางสีดาเสด็จไปแล้วพรหมจักรก็ได้แต่ซึมเศร้า บ้านเมืองก็หมองหม่นเงียบสงัดไปหมด ครั้งนั้น เทวดาดลใจให้นางแก้วจันทาธิดาของอำมาตย์ผู้ใหญ่คนหนึ่งไปทูลเล่าว่า ที่นางสีดาวาดรูปนั้นไม่ใช่เพราะจิตปฏิพัทธ์ แต่หากทำตามคำขอของนางสนมทั้งหลาย เมื่อพรหมจักรทราบความจริงก็ดีพระทัย วันหนึ่งเทวดาเข้าดลใจม้าทรงของพรหมจักรให้แล่นไปสู่ปราสาทนางสีดา เมื่อนายม้าออกตามหาม้าก็ไปพบนางสีดาเข้า จึงกลับไปกราบทูลท้าวพรหมจักร ท้าวพรหมจักรจึงไปรับนางกลับเมือง ตั้งชื่อโอรสว่า “พิมพาวัตติกุมาร”
          คืนหนึ่ง พรหมจักรรำพึงว่าหากตนจะได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ขอพระอินทร์มาค้ำชูสมภารแห่งตนเถิด เมื่อ  พระอินทร์ทราบเรื่องจึงบันดาลให้มีสมบัติ 7 ประการของพระยาจักรพรรดิราชและนำนางแก้วชื่อ “สุคันโธ” มาจากอุตตรกุรุทวีปไปเป็นมเหสีฝ่ายซ้ายแก่พระยาจักรพรรดิราชองค์ใหม่และเฉลิมพระนามว่า “พระญาพรหมจักกวัตติราชเจ้า” แล้วตั้งน้องให้เป็น “รัมมจักกราชะ” และเวนราชสมบัติบ้านเมืองให้ พร้อมทั้งนำ “นางราชกัญญา” อันมีเชื้อชาติขัตติยะมาเป็นมเหสีแก่รัมมจักกราชะอีกด้วย
เอกสารอ้างอิง
อุดม  รุ่งเรืองศรี. วรรณกรรมล้านนา.  ปรับปรุงครั้งที่ 5 และพิมพ์ครั้งที่ 2
กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, 2546.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น