วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2561

ชาดกล้านนา เรื่อง หอรมานชาดก


หอรมานชาดก
          เมื่อครั้งปฐมกัปป์ มีพรหมชื่อ ตปรไมสวร มาเกิดเป็นคนมีอายุได้อสงไขยปี มีโอรส 3 องค์ คือ ธตะรัฎฐะ วิรุฬหะ และวิรูปักขะ ซึ่งเกิดในเวลาเดียวกันแต่ต่างมารดากัน เมื่อบุตรทั้งสามมีอายุได้ 16 ปี ตปรไมสวรเกรงว่าลูกจะแย่งสมบัติกันขึ้น จึงโปรดให้ลูกทั้งสามแยกกันไปครองเมือง โดยให้วิรุฬหะครองเมืองลังกาทวีป วิรูปักขะครองเมืองกุรุรัฏฐนคร ส่วนธตรัฏฐะให้สืบแทนบิดาในเมืองพาราณสี พญาธตรัฏฐะมีโอรส 2 องค์ คือ ภารีและสุครีพ ส่วนท้าววิรูปักขะ โอรส 2 องค์คือพระรามและพระลักขณะ
          ครั้งหนึ่ง ราพณาสูรแปลงเป็นพระอินทร์ ไปสมสู่กับนางสุชาดา เมื่อนางสุชาดาทราบความจริงในภายหลังก็โกรธมาก นางได้จุติมาลงเกิดที่ตักของราพณาสูร พราหฌณ์ปุโรหิตแนะให้นำทารกนั้นลอยแพไปและราพณาสูรก็ทำตาม แพนั้นไปติดอยู่ที่ท่าอาบน้ำของกัสสปฤาษี เมื่อกัสสปฤาษีเปิดโกศบรรจุทารก ทารกนั้นก็ยกมือสีที่ตา กัสสปฤาษีจึงให้ชื่อว่า “นางสีตา” และรับนางไปเลี้ยงจนได้มีอายุ 16 ปี มีรูปโฉมงามยิ่งนัก เมื่อพรานป่าเห็นความงามเข้า ก็นำข่าวไปเล่าจนขจรไป กษัตริย์ร้อยเอ็ดพระนครในชมพูทวีปต่างพากันมาขอนางไปเป็นมเหสี แต่กัสสปฤาษี ให้กษัตริย์เหล่านั้นทดลองยก “สหัสสะถามมหาธนู” เสียก่อน หากผู้ใดยกได้ก็จะมอบอำนาจให้แก่ผู้นั้น แต่ไม่มีกษัตริย์ใดยกธนูนั้นได้ ทว่าบุคคลเหล่านั้นก็ไม่ยอมกลับเมือง และต่างก็ตั้งทัพอยู่รอบอาศรมนั้น
          พระรามและพระลักขณะแห่งเมืองกุรุรัฏฐนคร ได้ไปเรียนศิลปศาสตร์ ที่เมืองตักสิลานานถึง 10 ปี จนจบไตรเพทจึงเดินทางกลับเมืองบังเอิญผ่านมาทางอาศรมของกัสสปฤาษีได้ยินเสียงหมู่คนก็ประหลาดใจ จึงเข้าไปถามเรื่องจากคนทั้งหลายและเข้าไปหากัสสปะฤาษี บังเอิญนางสีตาเห็นพระรามก็บังเกิดความปิติจนสลบไป ในปราสาทที่ พระวิสุกรรมเทวบุตรมาเนรมิตให้นั้น เมื่อพระรามทราบข้อกำหนดจึงขอทดลองยกธนู ซึ่งก็สามารถยกสหัสสถามมหาธนูได้ง่ายเหมือนยกกงดีดฝ้าย กัสสปะฤาษีจึงยกนางสีตาพระราม และกษัตริย์ทั้งหลายก็ขอเข้าอยู่ในร่มโพธิสมภารของพระรามอีกด้วย จากนั้นพระรามและพระลักขณะจึงพานางสีตาเดินทางกลับสู่กุรุรัฏฐะต่อไป
          ขณะนี้ที่เดินทางอยู่ในป่านั้น พระอินทร์แปลงเป็นกวางทองเดินผ่าน นางสีตาอยากได้จึงขอพระรามจับให้ เมื่อพระรามตามกวางไปนานแล้วไม่กลับ นางก็ให้พระลักขณะไปตามและก่อนไปพระลักษณะได้ฝากนางไว้กับแม่ธรณี ฝ่ายราพณาสูรเล็งทิพย์เนตรเห็นนางแล้วก็อยากได้ จึงเหาะจากลังกาไปอุ้มเอานางรุ่งไปสู่นครของตน พระรามพระลักขณ์ขณะกลับมาไม่เห็นนางสีตาจึงโศกหนัก
          ต่อมา ภารีไปปราบควายทรพีและให้สุครีพเฝ้าปากถ้ำและสั่งว่าถ้าเห็นเลือดไหลจากถ้ำเป็นเลือดข้นกว่าคือเลือดควาย ถ้าเลือดใสก็คือเรื่องของภารี และให้กลับคืนเมือง สุครีพเห็นเลือดควายที่ปนกับน้ำฝน ดูเหมือนเลือดใสไหลออกมาก็เข้าใจว่าภารีตายแล้วจึงไปครองเมืองแทน ส่วนภารีเมื่อฆ่าควายตายแล้วออกจากถ้ำมาไม่พบสุครีพก็เข้าเมือง เห็นสุครีพนั่งบนบัลลังก์ก็ไล่ฆ่าจนต้องหนีออกมานั่งร้องไห้จนน้ำตาไหลเป็นธารน้ำ และขี้ตาสูงท่วมถึงคอเหมือนจอมปลวก เมื่อสุครีพ ได้พบพระรามแล้ว ก็ได้ถวายตัวกับพระรามในคราวนั้นด้วย

          สุครีพ เล่าต่อไปว่า ในครั้งพญาธตรัฎฐะผู้บิดายังครองเมืองอยู่นั้น มียักษ์ตนหนึ่งชื่อนันทยักษ์ ซึ่งมีนิ้ววิเศษจะชี้ใครคนนั้นก็ตาย พญาธตรัฎฐะประกาศจะให้รางวัลแก่ผู้ปราบนันทยักษ์ได้ นางยักษ์คันธัพพีก็อาสายั่วให้นันทยักษ์ฟ้อนรำตามแบบที่นางร่ายรำ นางรำไปจนถึงตอนชี้นิ้วลงที่กระหม่อม นันทยักษ์ก็ชี้กระหม่อมตนจนตัวตาย เมื่อพญาธตรัฎฐะทราบก็ให้นางรำให้ดู เมื่อเห็นนางฟ้อนรำงามนักก็เกิดปฏิพัทธ์จนน้ำอสุจิไหล นางคันธัพพ์ยักษ์เล็งเห็นด้วยตาทิพย์จึงใช้มือรองรับ แล้วนำน้ำอสุจินั้นไปใส่ปากหญิงตาบอดที่นอนอ้าปากรอลูกมะเดื่อ หญิงตาบอดนั้นก็ตั้งครรภ์ เมื่อครบ 10 เดือนก็คลอดและอีก 7 วันก็ตาย เด็กนั้นจึงชื่อ “ห่อน้ำมาน” ภายหลังเพี้ยนเป็น “หอรมาน”   วันหนึ่งหอรมานเห็นตะวันโผล่ยอดเขา สุกแดงงามเหมือนมะเดื่อที่แม่สั่งให้กินเป็นอาหาร ก็เหาะไปจับ และถูกรัศมีอาทิตย์เผา พระอาทิตย์จึงชุบขึ้นมาใหม่ กลายเป็นผู้มีฤทธิ์มาก ในครั้งนั้นสุครีพก็ถวายองค์คด วรยศและหอรมาน เป็นข้าของพระรามต่อไป
          พระรามก็พาทุกคนกลับที่พำนักชั่วคราวแล้วให้สุครีพไปท้าภารี ภารีก็รบไล่สุครีพจนเข้าเขตที่พระรามตั้งมั่นอยู่ พระรามจึงยิงด้วยธนู แต่ภารีจับไว้ แล้วถามว่ายิงตนด้วยเหตุใด พระรามก็ว่าเพราะสุครีพเป็นข้าของพระราม และหาก  ภารีรักชีวิตก็ขอเพียงเลือดบูชาศร เพียงแค่แมลงวันกินอิ่ม แต่ภารีทะนงในความเป็นกษัตริย์จึงปล่อยให้ธนูแล่นเข้าประหารตน สุครีพจึงได้ครองเมืองต่อไป
          เมื่อกลับกุรุรัฏฐนครแล้ว พระรามก็ได้ปรึกษากับเสนาอำมาตย์ที่จะส่งผู้ไปสืบหานางสีตาที่ลังกา สุครีพเสนอให้ใช้หอรมาน พระรามก็ขอดูฤทธิ์ของหอรมาน ซึ่งหอรมานก็แสดงให้ประจักษ์ โดยที่กราบทูลคำใดก็เป็นอาทิตย์ 7 ดวงและอื่นๆ เมื่อเห็นเช่นนั้นพระรามจึงวางใจให้หอรมานไปลังกาทวีป และนำพระธำมรงค์ไปเพื่อยืนยันแก่นางสีตาด้วย หอรมานเหาะไปลงที่อาศรมฤาษีตาไฟ แล้วไปตบประตูเรียก เมื่อฤาษีถามว่าใครมาหาเท่านั้น หอรมานก็กลายเป็นธุลีเหลือเพียงเลือดติดที่ประตูเพียงหยดเดียว ฤาษีตาไฟชุบหอรมานขึ้นมาแล้วก็ลองฤทธิ์กันบางประการกว่าจะไปลังกาได้
          หอรมาน พยายามสืบหานางสีตาจนพบจึงถึงความต่างๆ และเชิญนางเสด็จไปกับตน นางสีตาไม่ยอมกลับ ด้วยถือว่าหอรมานเป็นชายเกรงจะถูกติฉิน ขอให้พระรามแต่งทูตไปเจรจา หากราพณาสูรไม่ยอม ก็ขอให้ยกพลมาชิงนางจึงจะควร เมื่อเห็นนางสีตาไม่ยอมกลับ หอรมานนจึงสร้างความปั่นป่วนแก่ลังกา โดยสะกดเข้าไปผูกผมราพณาสูรและนางเทวีติดกันและเขียนสั่งว่าหากจะให้หลุด ต้องให้นางเทวีตบเศียรราพณาสูร การนี้ทำให้ตาทิพย์ของราพณาสูรเสื่อมไป จากนั้นหอรมานแสดงตนเป็นลิงเล็กให้ทหารจับ เอาผ้าชุบน้ำมันจุดไฟเผา แล้ววิ่งสู่ปราสาทของราพณาสูร จนปราสาทไหม้ แล้วเหาะไปถึงกรุงกุรุรัฏฐนคร เพื่อกราบทูลพระรามตามที่นางสีตาสั่งความไป



          เมื่อทูตจากพระรามคือองค์คดไปขอนางสีตาคืนจากราพณาสูรแล้วไม่สำเร็จ พระรามจึงเตรียมพลจองถนนข้ามสมุทรไปลังกา ในคราวนั้นสัตว์ทุกชนิดแม้ปลวก ริ้น ยุง ก็มาช่วยงาน ยกเว้นค้างคาว นกพิราบ และนกกระจอก เท่านั้นที่ไม่ไปช่วยสร้างถนน การทำถนนดังกล่าวมีหอรมานเป็นหัวหน้า ซึ่งก็สามารถสร้างถนนเสร็จภายใน 7 ปี 6 เดือน ในการทำถนนนั้นมีเสียงสะเทือนไปถึงเมืองปัตตหลุ่มซึ่งอยู่ใต้มหาสมุทร พญาปัตตหลุ่มจึงให้ลูกสาวไปดู นางเห็นหอรมานวิ่งขึ้นลงตอกหลักสร้างทาง มีเหงื่อไหลปนน้ำในมหาสมุทร หนังนาคมัลลิกาได้กินน้ำปนไคลนั้นจึงตั้งครรภ์ มีบุตรชายชื่อ “หัททยี” มีอำนาจเสมอหอรมานผู้เป็นพ่อ
          เมื่อยกทัพข้ามไปแล้ว พระรามก็ให้วรยศเป็นทูตไปขอนางคืนอีก ราพณาสูรเรียกพิเภกมาทำนายต่อหน้าวรยศ พิเภกทายว่าราพณาสูรจะสูญสิ้นทุกอย่าง ทำให้ราพณาสูรไม่พอใจ จึงขับพิเภกหนี พิเภกจึงไปถวายตัวอยู่กับพระราม พระรามให้พิเภกทำนายพระองค์บ้าง พิเภกก็ทายว่าใน 7 วันพระรามจะมีเคราะห์ ถ้าพ้นจากนั้นแล้วจะได้เมืองลังกา เมื่อทราบความเช่นนั้น ท้าวพระยาทั้งหลายจึงป้องกัน โดยขุดหลุมให้พระรามอยู่ และใช้กระดานกรุไว้โดยรอบ เมื่อครบ 7 วันแล้วพระรามก็หายไป เพราะท้าวปัตตหลุ่มเเค้น ที่ลูกสาวท้องเพราะเหงื่อไคลของหอรมาน จึงสะกดทัพจับพระราม ไปขังไว้เตรียมจะฆ่า พิเภกก็บอกให้หอรมานติดตามไป หอรมานลงไปตามรูก้านบัวสู่เมืองปัตตหลุ่ม และหาทางเข้าไปจนสามารถพาพระรามกลับได้ ครั้งนั้นหอรมานได้รบกับหัททยี แต่ไม่แพ้ไม่ชนะกัน เมื่อทราบว่าหัททยีเป็นลูกของตน       หอรมานก็ให้ลูกผู้นั้นครองเมืองปัตตหลุ่มต่อไป
          เมื่อได้พระรามคืนค่ายแล้ว พระลักขณะอาสารบ โดยถือว่าตนเลินเล่อทำให้นางสีตาหาย ราพณาสูรให้น้องคือ    “อินทรชิต” ออกรบ และซัดอาวุธสู้กัน พระลักขณะถูกหอกโมกขศักดิ์ที่กระหม่อมทะลุออกทวาร ส่วนอินทรชิตถูกศรพระลักขณ์ตาย หอรมานไปเอาต้นยามาจากเขาคันธมาทนะ และแปลงเป็นมดไปเอาหินหนุนเศียรราพณาสูรมาฝนยาแล้วทาที่เท้าของพระลักขณะ หอกก็หลุดกระเด็นออกไป ยานั้นจึงชื่อ “ดอยซะเดน” (ดอยกระเด็น)
          ต่อมาพระรามกับราพณาสูรรบกัน ราพณาสูรเนรมิตกายสูงเทียมเขายุคันธร หอรมานจึงแบกพระรามขึ้นบ่าเข้าสู้ ราพณาสูรยิงศรไปไม่ถูกพระราม ศรตกลงดินกลายเป็นต้นกล้วย พระรามยิงถูกเศียรราพณาสูรขาด แต่เศียรใหม่ก็งอกออกมาเรื่อยๆ จึงเลิกทัพกันไป พระรามถามถึงวิธีฆ่าราพณาสูร พิเภกทูลว่าต้องใช้สอนชื่อ"ทสพลควาวชิระ" ซึ่งจมอยู่ในสมุทร ขอบจักรวาลทางด้านใต้ ซึ่งมียักษ์ฤทธิ์มากเฝ้าอยู่ หอรมานบังคับเอาศรจากยักษ์และดึงศรขึ้นมา น้ำก็ไหลเข้าหลุมศรนั้นมาก จนน้ำมหาสมุทรแห้งไปจนครึ่งฝั่ง อีก 7 วันต่อมาพระรามและราพณาสูรก็ออกรบกันอีก ราพณาสูรเนรมิตกายสูงเท่าเขายุคันธร พระรามก็ขึ้นบ่าหอรมานดังเดิม คราวนี้พระรามยิงถูกราพณาสูรสิ้นชีพไป พระรามจึงโปรดให้พิเภกครองลังกา แล้วพระองค์จึงยกกลับเมืองกุรุรัฏฐะ


          ต่อมาพระรามเห็นว่าเมืองกุรุรัฏฐะแคบไปจึงคิดสร้างเมืองใหม่ โดยยิงศรทสพลควาวชิระ ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ แล้วให้หอรมานเอาเขาสรรพยาวางบนฝ่ามือแล้วเหาะตาม เมื่อพบศรที่ตกอยู่ หอรมานจึงวางเขาสรรพยาทิศเหนือของบริเวณนั้น แล้วเอาหางกวาดที่ให้เตียนรอพระราม เมื่อพระรามยกพลไปถึง จึงถามว่าขณะที่กวาดบริเวณนั้นได้หาฤกษ์ หรือไม่ เมื่อหอรมานตอบว่าไม่ได้หาฤกษ์แต่ประการใด พระรามจึงตรัสว่าเป็นการทำที่ไม่เป็นมงคล จึงละทิ้งที่นั้นเสีย ที่นั้นต่อมา กลายเป็นเมืองชื่อว่า "ละโว้"
          จากนั้นพระรามยกพลตามลำแม่น้ำไปพบบริเวณสวยงามมาก จึงตั้งชื่อว่า “พินสมุทร” แล้วยกพลล่องตามแม่น้ำจนถึงที่แม่น้ำประสบกัน ได้หยุดตั้งทัพเล่นมหรสพสนุกเหมือนเมืองสวรรค์ จึงตั้งชื่อที่นั้นว่า “นครสวรรค์” จากนั้นเดินทางต่อไปถึงเกาะแห่งหนึ่ง ใช้ศรยิงยักษ์นันทราช ซึ่งดูแลสถานที่นั้นตาย แล้วจึงสร้างเมืองที่เกาะดังกล่าว ให้ชื่อว่าเมือง    “อโยธิยา” แล้วตั้งอยู่ที่นั้น
          วันหนึ่งเมื่อพระรามออกไปเลียบเมือง นางสนมอยากเห็นรูปราพณาสูร จึงขอนางสีตาวาดให้ดู บังเอิญขณะนั้นพระรามเสด็จกลับมาพอดีไม่ทันที่นางสีตาลบรูปนั้นได้ทัน จึงเอารูปวาดนั้นซ่อนไว้ใต้บัลลังก์ของพระราม เมื่อพระรามนั่งบัลลังก์ ราพณาสูรก็กล่าวว่า “มหากษัตริย์ดั่งกั๋น พ้อยมานั่งบนหัวกั๋นสัง” (เป็นกษัตริย์เหมือนกัน กลับมานั่งทับหัวกันทำไม) พระรามจึงถามหาคนวาดรูป เมื่อรู้ว่านางสีตาเป็นคนวาดก็กริ้วมาก สั่งให้เพชฌฆาตนำนางไปฆ่า
          ขณะนั้นนางสีตาทรงครรภ์ พระลักขณะทูลว่าขอประหารนางเอง แล้วจึงพานางไปสู่ป่าช้าผีดิบและปล่อยให้นางหนีไป ส่วนตนก็เอาดาบฟันหมาที่พระอินทร์เนรมิตมา ให้เลือดติดดาบไปแสดงแก่พระราม นางสีตาหนีเข้าป่าไปพบ     ทิพจักขุฤาษีและขออาศัยอยู่ด้วย ต่อมานางคลอดบุตรชายจึงให้ชื่อว่า “พระบุตร” ส่วนนางก็หาอาหารถวายพระฤาษี   วันหนึ่งนางไปหาผลไม้จนเกือบค่ำ พระบุตรยังไม่กลับ ฤาษีเกรงว่านางจะเป็นห่วงและโศกเศร้า จึงเอากระดานประตูมาวาดรูปพระบุตร เผื่อจะชุบให้มีชีวิต แต่เมื่อนางสีตาพาพระบุตรมาจากป่าฤาษีก็จะลบภาพนั้นทิ้ง นางสีตาจึงขอให้ฤาษีชุบรูปนั้นเพื่อเป็นเพื่อนกับพระบุตร รูปเนรมิตเหมือนกับพระบุตรมาก จนนางเองก็จำแนกไม่ได้ จึงให้ชื่อกุมารเนรมิตว่า “พระเทียมฅิง” (คล้ายหรือเหมือนตัวจริง)
          ต่อมาพระบุตรครับกับพระเทียมฅิง เดินทางไปจนถึงอโยธิยา ได้ยินแม่ค้าแตง 2 คนพูดกันว่า เกลียดหอรมานที่หน้าเป็นลิงยิ่งนัก เพราะชอบมาเก็บแตงของนางไปกินบ่อยๆ กุมารทั้งสองก็คิดว่าจะช่วยโดยไม่จ่ายค่าภาษีเป็นเวลา 2 วัน พอถึงวันที่ 3 หอรมานจึงมาอีก เห็นเด็กก็ไม่คิดระแวง จึงฉวยแตงไปกินอีก พระบุตรจึงเขกหัวหอรมานจนแตก หอรมานตกใจมากจึงวิ่งหนีจากอยุธิยาไปทางทิศตะวันออก ราชบุตรทั้งสองก็หนีไปและเกิดโกลาหลทั่วเมือง
          ครั้นพระรามทราบเรื่องจึงฉวยธนูไล่ราชบุตรไปจนพบก็ขึ้นธนูยิง แต่ยิงเท่าไหร่ ก็ไม่ถูก ราชบุรีก็อธิษฐานว่า หากพระรามไม่ใช่บิดาก็ขอให้ถูกศรตาย หากใช่บิดาก็ขอให้ศรเวียนรอบพระรามแล้วกลับไปหาตน ซึ่งก็เป็นไปตามประการหลัง พ่อลูกจึงพบกันและพ่อพาลูกไปเสวยเมือง ฝ่ายนางสีตาเมื่อไม่พบลูกก็คร่ำครวญหนัก ครั้นฤาษีบอกความให้ทราบก็รอลูกอยู่ เมื่อพระบุตรและพระเทียมฅิงเล่าเรื่องให้ฟังแล้ว พระรามก็ยกพลไปรับนางสีตากลับเมือง แล้วอภิเษกพระบุตรกับพระเทียมฅิงเป็นกษัตริย์คู่ขึ้นครองอโยธิยา เมื่อนางสีตาสิ้นอายุก็กลับไปเป็นชายาของพระอินทร์ดั้งเดิม

เอกสารอ้างอิง
อุดม  รุ่งเรืองศรี. วรรณกรรมล้านนา.  ปรับปรุงครั้งที่ 5 และพิมพ์ครั้งที่ 2
กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, 2546.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น