วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

ท่าฟ้อนดาบพ่อครูเป็ง ก้อนเพรี้ยง บ้านพนัง ต.ทุงสะโตก อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่

 



ท่าฟ้อนดาบพ่อครูเป็ง ก้อนเพรี้ยง

(ข้อมูล ณ วันที่ 10 กรกฎาคม 2565)


ความเป็นมา

พ่อหนานเป็ง ก้อนเพรี้ยง  ปัจจุบัน  (2565) อายุ 75 ปี  เกิดเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2490 พ่อชื่อ พ่ออินตา ก้อนเพรี้ยง แม่ชื่อ แม่ดี ก้อนเพรี้ยง ภูมิลำเนา บ้านเลขที่ 2 หมู่ 3 บ้านพนัง (อ่านออกเสียงว่า ผะนัง) ตำบลทุ่งสะโตก อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ พ่อหนานเป็ง เข้าเรียน ป.1 เมื่ออายุ 7 ขวบ ที่โรงเรียนร้องสัมป่อย ต.ทุ่งสะโตก อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ เริ่มเรียนฟ้อนดาบจากพ่ออินตา เมื่อประมาณ ป.2  อายุ 8 ขวบ (พ่ออินตา เสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ.2539 อายุ 89 ปีพ่ออินตาจึงเกิดปี พ.ศ.2450 พ่อหนานเป็งเกิด พ.ศ.2490 แสดงว่าพ่ออินตา อายุมากกว่าพ่อหนานเป็ง 40 ปี ขณะที่สอนฟ้อนดาบให้พ่อหนานเป็ง พ่ออินตาน่าจะอายุประมาณ 48 ปี ส่วนแม่ดี ก้อนเพรี้ยง เสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ.2513 ขณะอายุได้ 63 ปี จึงเกิดปี พ.ศ.2450 ปีเดียวกันกับพ่ออินตา) พ่อหนานเป็งเรียนจบ ป.4 เมื่ออายุ 10 ปี มาอยู่บ้าน 1 ปี ก็บวชเป็นสามเณรกับตุ๊ลุงสม  วัดทุ่งเกี๋ยง ต.ทุ่งสะโตก อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ บวชได้ 4 พรรษาก็สึก  

เมื่อหนุ่มๆ อายุประมาณ 16-17 ปี พ่อหนานเป็ง ติดตามคณะรำวงหนองผึ้ง อ.สารภี จ.เชียงใหม่  โดยทำหน้าที่เป็นนักร้อง ไปร้องตามงานวัดต่างๆ  ต่อมาอายุประมาณ 20 ปี ก็ติดตามวงดนตรีศรีสมเพชร ของคุณประสิทธิ์ ศรีสมเพชร  พออายุ 22 ปี แต่งงานมีครอบครัว ภรรยาชื่อ แม่อุ่นเรือน (ใจตื้อ) ก้อนเพรี้ยง มีลูกชายด้วยกัน 1 คน ชื่อ นายทัศกรณ์ ก้อนเพียง (เกิดวันที่ 28 ธันวาคม 2527) เมื่อมีครอบครับ พ่อหนานเป็งจึงเลิกอาชีพนักร้อง กลับมาอยู่กับครอบครัวที่บ้านพนังในปัจจุบัน โดยประกอบทำนา ทำไร่ และรับจ้างทั่วไป

พ่อหนานเป็ง ได้บวชเป็นพระภิกษุ เมื่อปี พ.ศ.2550 ขณะอายุได้ 60 ปี โดยบวชที่วัดหัวริน ต.ทุ่งสะโตก อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ พระอุปัชฌาย์คือ พระครูวิวิธ ประชานุกูล (ตุ๊ลุงแดง) โดยบวชเป็นเวลา 29 วัน แล้วสึกออกมาเป็น “หนาน” (ทิด) เพื่อทำหน้าที่เป็น “ปู่อาจ๋าน” หรือ มัคนายก (ผู้จัดการทางศาสนพิธี การกุศล ผู้ชี้แจงทางบุญ ผู้คอยนำกล่าวคำบูชา คำอาราธนา คำถวายสิ่งของให้พระภิกษุ) ตามความเชื่อของชาวพุทธแบบล้านนาว่าคนที่จะ “ปู่อาจ๋าน” ได้น่าเชื่อถือ จะต้องผ่านการบวชเรียนเป็นพระภิกษุ (เป๊กข์ตุ๊) มาแล้ว 

ปัจจุบันพ่อหนานแก้ว ยังทำหน้าที่เป็น “ปู่อาจ๋าน” หรือมัคนายก ที่วัดพนัง และ วัดดอนแก้ว หมู่ 3 ต.ทุ่งสะโตก อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ชื่อแม่ท่าฟ้อนดาบพ่อหนานเป็ง ก้อนเพรี้ยง อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่

 

    (ตบมะผาบ 13 หรือ ตบมะผาบ 16 แล้วแต่สถานการณ์)

1. ป๋าเลื้อมหาด (ปลาเลียบหาด)

2. นางกวาดเฮือน (นางกวาดเรือน)

3. เกี้ยวเกล้า

4. แตงสอย (แทงสอย)

5. บัวบาน

6. ฟันหก (หก แปลว่า ฟันหกครั้ง และ หก ยังแปลว่า ผันกลับไปกลับมา ฟันหก จึงอาจแปลได้อีกว่า ฟันหมุนไปมาด้วยความรวดเร็ว)

7. เปลี่ยนดาบ

8. ก๊าบฟ้อน (คาบฟ้อน, ใช้ปากคาบดาบแล้วฟ้อนรำ)

9. สีไคลหลวง (สีไคล แปลว่า ถูขี้ไคล,  หลวง แปลว่า ใหญ่)

10. สีไคลหน้อย (หน้อย แปลว่า น้อย เล็ก)

11. บัวบานห่าง (ท่าทำกลีบดอกบัวซ้อนห่างกัน)

12. เสือลากหาง

13. กว๋างเหลียวเหล่า (กวางเหลียวดูป่าละเมาะ)

14. ฤาษีต๋ามเตียน (ฤาษีจุดเทียน)

15. จ๊างแตงงา (ช้างแทงงา)

16. ขว้างมะม่วง

(หมายเหตุ : การเปลี่ยนท่าทุกครั้ง จะต้องทำท่าเปลี่ยนดาบ ท่าสวนส้น ท่าสินคม เสมอ

               หรืออาจเรียกว่าท่าเชื่อมนั่นเอง)

     (สินคม แปลว่า เจียนคมดาบให้คมอยู่เสมอ)

 

สมภพ  เพ็ญจันทร์ : บันทึก

15 กรกฎาคม 2565

 

SP BeautiFULLMOON ChiangMai THAI Dance Troupe


SP BeautiFULLMOON ChiangMai THAI Dance Troupe

 

History:

The SP BeautiFULLMOON  ChiangMai THAI Dance Troupe was established in 2019 by Assistant Professor Somphop Phenchan, a retired civil servant from the Chiang Mai College of Dramatic Arts. The troupe is located at 88 Moo 3, Ban Sankhayom, Makham Luang Subdistrict, San Pa Tong District, Chiang Mai Province, Thailand.

 

Meaning Behind the Name:

The troupe's name, SP BeautiFULLMOON ChiangMai , carries profound significance:

o   SP: These initials represent for Somphop, the founder's first name, directly linking his identity to the troupe.

o   BeautiFULLMOON: This is a clever and meaningful wordplay, merging "Beautiful" with "Full Moon." "Full Moon" is a direct translation of the founder's surname, Phenchan. Therefore, the complete name conveys the essence of "perfect beauty, like a full moon."

o   ChiangMai is the hometown of its founder, Assistant Professor Somphop Phenchan.

Objectives:

The SP BeautiFULLMOON Dance Troupe Chiang Mai, THAILAND, was founded with the following key objectives:

1.     To preserve and transmit the rich heritage of Thai performing arts to future generation by teaching traditional traditional Lanna dance, folk dances from Thailand's four regions, court dance, Khon (masked dance-drama), and Lakhon (classical Thai dance-drama) to children, students, youth and the general public.

2.     To innovate and create new Lanna traditional dance and folk plays.

3.     To serve as a vital cultural and artistic network at local, national, and international levels.

4.     To promote and disseminate cultural performances both domestically and internationally.

          


คณะนาฏศิลป์เพ็ญจันทราเชียงใหม่

ประวัติคณะนาฏศิลป์เพ็ญจันทราเชียงใหม่

คณะนาฏศิลป์เพ็ญจันทราเชียงใหม่ (SP BeautiFULLMOON ChiangMai THAI Dance Troupe) ตั้งอยู่บ้านเลขที่ 88 หมู่ 3 บ้านสันคะยอม ตำบลมะขามหลวง อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2562 ปีเกษียณอายุราชการของผู้ช่วยศาสตราจารย์สมภพ เพ็ญจันทร์ ข้าราชการบำนาญ วิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่

 

ความหมายของชื่อคณะ

SP                          ย่อมาจากชื่อผู้ก่อตั้ง คือ สมภพ (SomPhop) ซึ่งเป็นการเชื่อมโยง

ชื่อจริงเข้ากับชื่อคณะ

BeautiFULLMOON       เป็นการเล่นคำ โดยรวมคำว่า “Beautiful” สวยงาม กับคำว่า

“Full Moon” พระจันทร์วันเพ็ญหรือเพ็ญจันทร์ ซึ่งเป็นนามสกุล

ของผู้ก่อตั้ง ความหมายรวมคือ ความสวยงามที่สมบูรณ์แบบเหมือนพระจันทร์เต็มดวง

ChiangMai                บ่งบอกถึงจังหวัดบ้านเกิดของ ผศ.สมภพ และความโดดเด่นของคณะ

นาฏศิลป์ที่มาจากเชียงใหม่ เมืองหลวงแห่งล้านนา

ประวัติโดยย่อของผู้ก่อตั้งคณะ

          ผู้ช่วยศาสตราจารย์สมภพ เพ็ญจันทร์ เป็นคนสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่โดยกำเนิด เกิดปี พ.ศ.2502 บรรพบุรุษทางพ่อเป็นลัวะสันป่าตอง ทางแม่เป็นไทเขินเชียงตุง พ่อเป็นลิเก เจิงมวย เจิงดาบ        แม่ชอบจ๊อยซอ ผศ.สมภพ จึงมีเลือดศิลปินเต็มตัว เรียนจบจากวิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ กรมศิลปากร เรียนนาฏศิลป์โขนลิง 5 ปี นาฏศิลป์โขนยักษ์ 3 ปี บรรจุรับราชการที่วิทยาลัยนาฏศิลปสุโขทัย สอนนาฏศิลป์โขนพระ 1 ปี สอนนาฏศิลป์พื้นบ้านสุโขทัย นาฏศิลป์พื้นบ้าน 4 ภาค เขียนบทและกำกับการแสดงแสงเสียง แสดงละครสมัยใหม่เรื่องยักษ์ตัวแดงของฮิเดกิ โนดะ ชาวญี่ปุ่น สอนที่นาฏศิลปสุโขทัย 38 ปี ย้ายมาสอนที่วิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ อีก 10 ปี ร่วมสอนศิลปะพื้นบ้านล้านนากับพ่อครูคำ กาไวย์ ศิลปินแห่งชาติ และพ่อครูมานพ ยาระณะ ศิลปินแห่งชาติ จึงเป็นศิษย์ของทั้งสองท่าน สอนกลองสะบัดชัย กลองไชยมงคล กลองปู่จา ฟ้อนดาบ ฟ้อนเจิง สร้างสรรค์ฟ้อนพื้นบ้านล้านนา และละครพื้นบ้านล้านนา สืบทอดฟ้อนดาบเจิงสันป่าตองจากพ่อหนานเป็ง ก้อนเพรี้ยง บ้านพนัง สันป่าตอง ผศ.สมภพ เพ็ญจันทร์ เกษียณอายุราชการเมื่อ พ.ศ.2562 เป็นผู้ก่อตั้งคณะจิตอาสาวัดศรีสุพรรณ แสดงทุกวันเสาร์ ถนนคนเดินวัวลายและถนนสายวัฒนธรรมศรีสุพรรณ เชียงใหม่ และเป็นผู้ก่อตั้งคณะนาฏศิลป์เพ็ญจันทราเชียงใหม่    

วัตถุประสงค์ของการตั้งคณะ

     คณะนาฏศิลป์เพ็ญจันทราเชียงใหม่ จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์คือ

(1)    สอนนาฏศิลป์พื้นบ้านล้านนา กลองล้านนา ฟ้อนดาบ ฟ้อนเจิง นาฏศิลป์พื้นบ้านสี่ภาค นาฏศิลป์ราชสำนัก โขน ละคร แก่เด็ก นักเรียน เยาวชนและประชาชน เพื่ออนุรักษ์ศิลปะดังกล่าวและส่งต่อให้คนรุ่นต่อไป

(2)    สร้างสรรค์นาฏศิลป์ และละครพื้นบ้านล้านนา

(3)    เป็นเครือข่ายทางด้านศิลปวัฒนธรรมระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับนานาชาติ

(4)    เผยแพร่การแสดงศิลปวัฒนธรรม ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ

 

คำสอนลูกศิษย์เมื่อฝึกนาฏศิลป์

           อดทน อดทน อดทน

 คำสอนลูกศิษย์ในการใช้ชีวิต

           ทำอะไรก็ทำ แต่อย่าทำผิดกฎหมายและจริยธรรม

          


วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

ประวัติ ผศ.สมภพ เพ็ญจันทร์



ประวัติ ผศ.สมภพ เพ็ญจันทร์ (อายุ ๖๖ ปี)



ประวัติการเรียนด้านนาฏศิลป์

-พ่อของครูสมภพ  เพ็ญจันทร์ ชื่อ พ่อน้อยเป็ง  เพ็ญจันทร์ (น้อย คือ คนที่บวชเณรมาแล้ว) อายุ ๘๔ ปี (เสียชีวิต) พ่อเป็นลิเกเก่า เล่นลิเกมาตั้งแต่วัยรุ่น จนอายุประมาณ ๓๐ ปีก็เลิก พ่อสามารถฟ้อนดาบ และเป่าขลุ่ยเมือง (ขลุ่ยล้านนา) ได้   



แม่ครูสมภพชื่อแม่แก้วพา  เพ็ญจันทร์ ชอบฟังเพลงซอ จนสามารถจ๊อยและขับซอได้ (เพลงซอเป็นเพลงพื้นบ้านล้านนา เหมือนกับเพลงฉ่อย อีแซว ลำตัด ซึ่งเป็นเพลงพื้นบ้านภาคกลาง หมอลำ เพลงโคราช เป็นเพลงพื้นบ้านภาคอีสาน เพลงบอก โนรา เป็นเพลงพื้นบ้านภาคใต้) ครูสมภพ  เพ็ญจันทร์ จึงเรียกได้ว่ามีเลือดศิลปินเต็มตัว




-ครูสมภพเริ่มเรียนนาฏศิลป์ตอนอายุ ๑๓ ปี ในระดับนาฏศิลป์ชั้นต้นปีที่ ๔ (ชั้น ม.๑ ในปัจจุบัน) ณ โรงเรียนนาฏศิลปเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๖ (ปัจจุบันคือวิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่) ก่อนหน้านั้นเมื่อเรียนชั้น ป.๑ – ป.๗  ก็มีประสบการณ์การแสดงบนเวทีบ้างเล็กน้อย (ที่จำได้คือ ฟ้อนน้อยไจยา ตอนอยู่ชั้น ป.๓ – ป.๔)  เมื่อเข้าเรียนนาฏศิลป์ ได้รับคัดเลือกให้เรียนเป็นตัวลิง โดยเรียนกับครูปรีชา  งามระเบียบ และครูสุวิทย์  เริ่มรุจน์ 




    ต่อมาพอถึงชั้นกลางปีที่ ๒ (ม.๕ ในปัจจุบัน) ครูชิน  ศรีปู่ ครูโขนยักษ์ ให้ย้ายมาเรียนเป็นตัวยักษ์ (เพราะจะฝึกให้ออกแสดงรำซัดชาตรี) โดยเรียนโขนยักษ์กับครูปรีชา  ศิลปสมบัติ และครูดิษฐ์  โพธิยารมย์  พอถึงชั้นสูง ๑ สูง ๒ (ปวส.) ได้เรียนเพิ่มเติมกับคุณครูหยัด ช้างทอง โดยเฉพาะเรียนรำฉุยฉายทศกัณฐ์ลงสวน และชูกล่องดวงใจ 



ครั้นเมื่อเข้าทำงานเป็นครูที่วิทยาลัยนาฏศิลปสุโขทัย  ครูโขนพระไม่มี จึงได้เป็นครูสอนโขนพระ ประมาณ ๑ ปี โดยเรียนโขนพระเพิ่มเติมจากครูสมบัติ  แก้วสุจริต

          -ด้านการตีกลองสะบัดชัยและฟ้อนดาบรูปแบบพ่อครูคำ กาไวย์ ศิลปินแห่งชาติ ได้เรียนจากพ่อครูคำ กาไวย์ เมื่อเรียนอยู่ชั้นต้นปีที่ ๓ (ม.๓) อายุ ๑๖ ปี (ปี พ.ศ.๒๕๑๘) ณ โรงเรียนนาฏศิลปเชียงใหม่ และเรียนรู้เพิ่มเติมอย่างละเอียดและจริงจังช่วงช่วยพ่อครูคำ กาไวย์สอนกลองสะบัดชัยที่วิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ ช่วงปี พ.ศ.๒๕๕๒ (ปีที่ย้ายจาก วนศ.สุโขทัย มาทำงาน วนศ.เชียงใหม่) จนพ่อครูคำ ถึงแก่กรรม เมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๗

          -ด้านการตีกลองไชยมงคลและฟ้อนดาบรูปแบบพ่อครูมานพ ยารณะ ศิลปินแห่งชาติ ได้เรียนจากพ่อครูมานพ ยารณะ ในช่วงช่วยพ่อครูมานพสอนที่วิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ โดยเริ่มเรียนตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๒ (ปีที่ย้ายจาก วนศ.สุโขทัย มาทำงาน วนศ.เชียงใหม่) จนพ่อครูมานพ ถึงแก่กรรม เมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๘

-ด้านกลองปู่จา เรียนรู้จากครูจันทร์  แก้วจิโน รุ่นพี่วิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ รุ่นที่ ๑ เรียนเมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๕๕๗ ตอนสอนที่วิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ (ย้ายมา วนศ.เชียงใหม่ เมื่อปี ๒๕๕๒)

          -ด้านการฟ้อนดาบรูปแบบพ่อครูเป็ง ก้อนเพรี้ยง ครูภูมิปัญญาชาวบ้าน อ.สันป่าตอง โดยได้เรียนกับพ่อครูเป็ง ก้อนเพรี้ยง ที่วัดพนัง ต.ทุ่งต้อม อ.สันป่าตองเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๖๕

-ด้านศิลปะการแสดงละคร ได้เรียนรู้กับคุณครูปรานี  สำราญวงศ์ และคุณครูพนิดา  สิทธิวรรณ  โดยมีพื้นฐาน วรรณคดีการละครจากคุณครูประนอม  ทองสมบุญ ผู้อำนวยการโรงเรียนนาฏศิลปเชียงใหม่ในขณะนั้น




-ด้านศิลปะการแสดงละครสมัยใหม่ ได้เรียนรู้จากคุณฮิเดกิ  โนดะ ผู้กำกับการแสดงชื่อดังของญี่ปุ่น  โดยได้รับโอกาสให้เข้าร่วมแสดงละคร เรื่อง ยักษ์ตัวแดง  ณ ประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทย  ในช่วงปี พ.ศ.๒๕๔๐-๒๕๔๒ โดยแสดง ๓ ครั้ง การแสดงแต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ ๓ เดือน

-ด้านปี่พาทย์ (ฆ้องวง) เรียนกับครูสว่าง ตอนเรียนชั้น กลาง ๑-กลาง ๓ (ม.๔-๖)

-ด้านการขับร้องเพลงไทย เรียนกับครูวัฒนา  โกศินานนท์  ชั้นสูง ๑ (ปวส.๑)

-ด้านเครื่องสาย (ซอด้วง) เรียนกับครูแดงมณฑา ชั้นสูง ๑ (ปวส.๑)

-ด้านการแสดงลิเก ได้รับการฝึกฝนจากพ่อน้อยแสน พ่อครูลิเกคณะสันคะยอม ๓ (นิทัศน์ศิลป์) ต.มะขามหลวง อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ จนสามารถเล่นลิเกเป็นอาชีพได้ ระหว่างเรียนนาฏศิลป์ ประมาณชั้นกลาง ๑ – สูง ๒ เคยร่วมแสดงกับลิเกคณะ ส.สันคะยอม ๒ ประมาณ ๑-๒ ครั้ง แต่ถูกหัวหน้าคณะสันคะยอม ๓ (นิทัศน์ศิลป์) ห้ามไปร่วมแสดงอีก (อาจเป็นเพราะเป็นคู่แข่งกัน) พอสอบบรรจุเป็นครูที่นาฏศิลปสุโขทัยได้ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๔ ก็เลิกแสดงลิเก

ผลงานด้านการแสดง

๑. เป็นนักแสดงระบำ รำ ฟ้อนต่างๆ เช่น รำซัดชาตรี  รำเถิดเทิง รำวงมาตรฐาน ระบำไกรลาสสำเริง    รำกราวชัย รำโนห์รา เซิ้งสวิง  เซิ้งสัมพันธ์  เซิ้งโปงลาง ฟ้อนน้อยไจยา ฟ้อนแพน  ฟ้อนดาบ กลองสะบัดชัย เพลงเต้นกำรำเคียว เพลงฉ่อย เพลงเรือ เพลงลำตัด  ฯลฯ

๒. การแสดงโขน

-แสดงเป็นตัวยักษ์ ทศกัณฐ์  พิเภก  รณพักตร์   อินทรชิต  มโหทร เปาวนาสูร เสนายักษ์ 

 ธงยักษ์  เขนยักษ์  ฯลฯ

-แสดงเป็นตัวพระ คือ พระราม พระลักษมณ์  (ยกรบ)

-แสดงเป็นลิง เช่น หนุมาน (ยกรบ จับนาง) สุครีพ องคต ไชยยามพวาน ลิงเชิญเครื่อง

 สิบแปดมงกุฎ  เขนลิง  ฯลฯ

-แสดงเป็นพระฤาษีโคบุตร ชุด ถวายลิง  เป็นพระฤาษี ชุด กำเนิดมณโฑ ปราบนางกากนาสูร

๓. การแสดงละครไทย

-แสดงเป็นพระสัตยวาน ในละครเรื่อง สาวิตรี 

-แสดงเป็นมะกะโท ในละครเรื่อง อานุภาพพ่อขุนรามคำแหง

-แสดงเป็นทหารระตูบุศสิหนา ในละครเรื่องอิเหนา ตอน ประสันตาต่อนก

-แสดงเป็นทหารไทย

๔. การแสดงละครสมัยใหม่

-แสดงเป็นคนแก่ เด็ก ชาวบ้าน ในละครเรื่อง ยักษ์ตัวแดง ของคุณฮิเดกิ โนดะ ผู้กำกับชาวญี่ปุ่น 

วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

ฟ้อนสาวไหม วิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่

 


ฟ้อนสาวไหม วิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่

ฟ้อนสาวไหม   เป็นชื่อเรียกการแสดงพื้นเมืองชุดหนึ่งของวิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ที่ได้นำฟ้อนของเดิมมาพัฒนาขึ้น       

          คำว่า  ฟ้อน   หมายถึง   ศิลปะแห่งกระบวนท่าในการร่ายรําที่มีลีลาท่าทางสอดประสาน เขาด้วยกันอย่างกลมกลืน เพื่อสื่อความหมาย หรือแสดงอารมณ์ให้ปรากฏออกมาในลักษณะต่างๆ    คำว่า  สาว    หมายถึง  การชัก  การดึง

คำว่า  ไหม    หมายถึง  เส้น ด้ายที่นำมามาทอผ้า 

          ดังนั้นคำว่า   ฟ้อนสาวไหม    จึงหมายถึง   ศิลปะแห่งกระบวนท่าในการร่ายรําที่แสดงออกถึงวิธีการชัก หรือวิธีการดึงเส้นด้ายออกจากรังไหมแล้ว นำมาถักทอเป็นผืนผ้า

 

          ฟ้อนสาวไหม   เป็นนาฏกรรมที่สะท้อนรูปแบบศิลปวัฒนธรรมอย่างหนึงของคนไทย ทางภาคเหนือที่นำความเกี่ยวโยงระหว่างวิถีชีวิตทางเกษตรกรรมมาแสดงออกในรูปแบบทาง นาฏศิลป์  ฟ้อนสาวไหมมีวิวัฒนาการ ๔ ระยะ คือ

          ระยะเริ่มแรก พ่อครูกุย สุภาวสิทธิ์  เป็นผู้ริเริ่มประดิษฐ์ท่าฟ้อนโดยได้แนวคิดจากวิถีการ ดำรงชีวิตทางด้านเกษตรกรรมของชาวบ้านแบบครบวงจร ที่มักจะมีการปลูกต้นหม่อน เก็บฝ้าย  สาวไหมและทอผ้า  อันเป็นกระบวนการที่น่าสนใจและน่านำมาถ่ายทอดเป็นเรื่องราว    ด้วยแนวคิดดังกล่าว  ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจและนำมาสู่การกำหนดเนื้อหาเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวดัง กล่าวในที่สุดก็นำมาสู่การแสดงชุดหนึ่ง เรียกว่า  ฟ้อนสาวไหม  และต่อมาการแสดงชุดนี้พ่อครูกุย สุภาวสิทธิ์ ได้ถ่ายทอดให้ บุตรสาวคือ ครูบัวเรียว  รัตนมณีภรณ์

          ระยะที่สอง  แม่ครูพลอยสี  สรรพศรี  (ช่างฟ้อนเก่าในคุ้มเจ้าแก้วนวรัฐ) ได้เห็นการฟ้อนสาวไหมของครูนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ก็เกิดความสนใจ ครั้นเมื่อมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกัน ฟ้อนสาวไหมจึงได้ถูกหยิบยกขึ้นมาปรับท่ารําบางท่า  โดยแทรกลีลาท่ารําของนาฏศิลป์ไทยเข้ากับท่าฟ้อนเดิม

          ระยะที่สาม  ในปี พ.. ๒๕๑๘ โรงเรียนนาฏศิลปเชียงใหม่ ต้องการที่จะอนุรักษ์ฟ้อนสาวไหม  จึงได้เชิญแม่ครูพลอยสี สรรพศรี   เข้ามาเป็นครูพิเศษถ่ายทอดท่าฟ้อนสาวไหมให้ครูโรงเรียนนาฏศิลปเชียงใหม่  ซึ่งในขณะนั้นมีครูฉวีวรรณ  สบฤกษ์ ครูอัจฉรา  สุภาไชยกิจ และครูสามปอยดง  เครือนันตา ซึ่งเป็นครูสอนนาฏศิลป์ละคร ได้ เป็นศิษยรุ่นแรกที่ได้รับการถ่ายทอดท่าฟ้อนสาวไหม  ครั้นเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการถ่ายทอดท่าฟ้อนสาวไหม  แม่ครูพลอยสี  สรรพศรี  ได้กล่าวไว้ว่า  การฟ้อนชุดนี้สามารถที่จะทำการพัฒนาปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้ เพราะว่าก่อนหน้า แม่ครูพลอยสีก็เคยทำการปรับปรุงมาแล้ว

          ระยะทีสี่   ปลายปี พ.. ๒๕๑๘ พ่อครู  กาไวย์ ได้นำการฟ้อนสาวไหมอีกรูปแบบหนึ่ง  เข้ามาเผยแพร่ในวิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่  จากภาพการแสดงที่ปรากฎ  ทำให้ครูฉวีวรรณ  สบฤกษ์ เกิดความประทับใจ นำไปสู่การสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกัน  ในที่สุดเนื้อหาในการสนทนา จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนในเชิงสร้างสรรค์ ทำให้กระบวนการฟ้อนสาวไหมได้รับการ ปรับปรุงและวิวัฒน์ตัวเองขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง   ให้มีลีลาอ่อนช้อยงดงามแบบนาฏศิลป์  จนกระทั่งเกิดฟ้อนสาวไหมรูปแบบเฉพาะตัว ซึ่งมีความโดดเด่นและมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง   อันถือได้ว่าเป็ ต้นแบบของวิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ ที่ได้สืบสาน ถ่ายทอด และเผยแพร่ มาจนถึงทุกวันนี้ นับว่าเป็นมรดกทางภูมิปัญญาที่สำคัญยิ่งอย่างหนึ่ง ที่ควรค่าแก่การศึกษาและสืบสานเอาไว้

 

ท่าฟ้อนสาวไหม  มีทั้งหมด  ๑๘  ท่า  เมื่อลำดับแล้วมีดังนี้

          .  ท่าสาวไหมสูง  (ท่าออก)

          .  ท่าม้วนไหมใต้ศอก(ท่าเข้าเปี๋ย)

          .  ท่าไหว้

          .  ท่าบิดบัวบาน

          .  ท่าดึงไหม  (เรียงไหม) 

          .  ท่านำไหมเข้ากลุ่ม ขวา, ซ้าย

          .  ท่าม้วนไหมใต้ศอก (ท่าเข้าเปี๋ย)

          .  ท่าสาวไหมต่ำ (ท่าเก็บตะกอ)

          .  ท่าสาวไหมพันหลัก  (วนไหม)

          ๑๐.  ท่าสาวไหมข้างตัว

          ๑๑.  ท่าพุ่งกระสวย

          ๑๒.  ท่าม้วนไหมใต้ศอก

          ๑๓.  ท่าล้างไหม

          ๑๔.  ท่านำไหมไปผึ่งแดด แก้ปมไหม

          ๑๕.  ท่าลองนุ่งผ้าถุง (ลองสวมผ้าถุงเมื่อทอเสร็จ)

          ๑๖.  ท่าเลือกผ้า

          ๑๗.  ท่าม้วนไหมใต้ศอก

          ๑๘.  ท่าสาวไหมสูง  (ท่าเข้า)

 

ดนตรี  ใช้วงดนตรีพื้นเมือง  ประกอบด้วย   

สะล้อลูกสาม    คัน

สะล้อ ลูกสี    คัน

สะล้อ หลวง ( สะล้อสามสาย )  ๑ คัน

ซึงลูกสาม    ตัว

ซึงลูกสี่    ตัว

ซึงหลวง    ตัว

ขลุ่ยพื้นเมือง  ๑ เลา

กลองพื้นเมือง  ๑ ลูก

          ทำนองเพลงที่ใช้บรรเลงชื่อเพลงสาวปั่นฝ้าย   ท่อนที่หนึงเป็นทำนองเก่าที่มีมาแต่ดั้งเดิม  ครังหนึ่ง  เจ้าสุนทร  ณ เชียงใหม่ เคยนำเอาเพลงนี้ที่มีเพียงท่อนเดียวมาบรรเลงประกอบ ฟ้อนสาวไหม และด้วยความที่ไม่ยาวนักของทำนองเพลง จึงทำให้การบรรเลงตต้องมีการกลับต้น วนกลับไปกลับมาสิบกว่าเที่ยว จึงทำให้เกิดความกังวลในอรรถรสเพลง ด้วยเหตุดังกล่าวครูสิริชัยชาญ ฟักจำรูญ  (ขณะมาช่วยราชการทีโรงเรียนนาฏศิลปเชียงใหม่ พ.. ๒๕๑๔ ) ได้เล่าให้ฟังเมื่อคราวจัดงานเสวนาเรื่อง เจ้าสุนทร ณ เชียงใหม่  ตำนานทางการช่าง เรือจ้างผู้สร้างคน ในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑   ณ วิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ ความตอนหนึ่งว่า

          เจ้าลุงครับ(เจ้าสุนทร ณ เชียงใหม่) ผมเห็นว่าควรจะแต่งทำนองเพลงสาวไหมเพิ่มเติมให้มีความยาวมากกว่านี้  หากเจ้าลุงไม่แต่ง ผมจะแต่งให้เอง  หากทำนองไม่กลมกลืนกัน อย่าว่ากันนะ     เพียงประโยคคำพูดดังกล่าว ได้กระตุ้นก่อให้เกิดแรงบันดาลใจและนำมาซึ่งผลสำเร็จที่ตามมาเพียงไม่กี่วันหลังจากนั้น เพลงสาวไหมท่อน ๒ ก็ถือกำเนิดขึ้นโดยความรู้ความสามารถของ เจ้าสุนทร ณ เชียงใหม่ ด้วยลีลาทำนองที่มีการล้อ การเหลื่อม พริ้วไหวอย่างงดงามไพเราะ ครูสิริชัยชาญ      ฟักจำรูญ  จึงได้นำเพลงล่องแม่ปิงเข้ามาบรรเลงเชื่อมต่อ ยิ่งทำให้เกิดความไพเราะสง่างามมากยิ่งขึ้น ในที่สุด ด้วยความลงตัวกลมกลืนกันอย่างสมบูรณ์ของทำนองเพลงทั้งสอง ที่จะขาดเพลงหนึ่งเพลงใดมิได้ จึงเป็นที่มาของเพลงสาวไหม อันเป็นที่หมายรู้ของคนโดยทั่วไป


  เอกสารอ้างอิง

 ดิษฐ์ โพธิยารมย์. ผลงานการแสดงพื้นบ้านล้านนาของวิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่.

วิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่, 2552.